วากายามะ ทัวร์ตลาดปลามากุโร่ ไปนอนวัดญี่ปุ่น ลอดอุโมงค์ต้นไม้ เที่ยวสายมู เที่ยวแบบโนฮาคุ

“โนฮาคุ” คืออะไร? โนฮาคุ คือการเดินทางประเภทหนึ่งที่นักท่องเที่ยวจะพักค้างคืนในหมู่บ้านเกษตรกรรม บนภูเขา หรือหมู่บ้านชาวประมง และทานอาหารจากทรัพยากรในท้องถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ ตลอดการเข้าพัก พูดง่ายๆ ก็คือเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่คุณพักอยู่ในฟาร์ม หมู่บ้านชาวประมง และการปฏิสัมพันธ์กับคนในท้องถิ่นนั่นเอง

ญี่ปุ่นครั้งเดียวไม่เคยพอ

วากายามะอยู่ตรงไหนของญี่ปุ่น ใครรู้บ้าง? วากายามะอยู่ด้านล่างโอซาก้าค่ะ ไม่ไกลเลย แต่กลับไม่ค่อยมีคนรู้จักสักเท่าไร วันนี้ดิบจะพาไปรู้จักจังหวัดนี้ให้มากขึ้นอีกนิดนะคะ


แน่นอนว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่คนไทยหลายๆ คนเลือกที่จะเดินทางมาท่องเที่ยว ด้วยเพราะอากาศ,
ฤดูกาลที่หลากหลาย, ความสวยงามที่ต่างกันไป,อาหารการกินและวัฒนธรรมต่างๆ
ก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาได้มากมาย แต่ก็นั่นแหละค่ะ การเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งแรกก็อาจจะต้องไปจุดเที่ยวหลักๆ ก่อน แต่ในเมื่อใจมันรักญี่ปุ่นแล้ว ก็อยากไปเก็บให้ทั่ว ตรงไหนที่ว่าดี
ตรงไหนที่ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก ร้านลับ โรงแรมลับ
(ที่ไม่ลับ) โพสนี้ดิบจะพาไปเที่ยวกับทัวร์ นอนวัดญี่ปุ่น
สวดมนต์ปีใหม่ เที่ยวตลาดปลาอันดับ 1 ของญี่ปุ่น กินมากุโร่สดๆ
แบบไม่ผ่านการแช่แข็ง ชมน้ำตกนาจิ น้ำตกที่สูงสุดของญี่ปุ่น


Day 1
เราเริ่มกันที่จุดนัดพบสถานีเทนโนจิ Tennoji ค่ะ ดิบนั่งชินกังเซนมาลงที่ ชินโอซาก้า แล้วนั่งรถไฟต่อมาที่นี่อีก 20
นาทีค่ะ ถ้าใครมาเครื่องบินก็ไปแวะรับที่สนามบินได้เลยค่ะ


จากนั้นเราก็ขึ้นรถตู้คันใหญ่ นั่งสบายมากกกกกกก คนขับคือดีมาก แนะนำที่เที่ยว จุดถ่ายรูปเด่นๆ ให้ คือเรียกว่าเป็นทั้งคนขับแถมไกด์ท้องถิ่นในคนเดียวมาเลย (คนญี่ปุ่นนะคะแต่เรามีล่ามเทพไปด้วย แปลทุกอย่างยิ่งกว่า AI อีก) เรานั่งรถไปสัก2 ชม. ได้ค่ะ แล้วแวะที่ Food Hunter Park แค่ชื่อก็หิวแล้วใช่ไหมคะ

ที่นี่เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่มากๆ แบบมากๆไม่ใช่แค่แวะทานอาหารนะ ยังมีสวนดอกไม้ด้วยค่ะแต่ละฤดูก็มีดอกไม้แตกต่างกันไป และยังมีที่เล่นสำหรับเด็กๆ มีโซนให้ทำบาร์บีคิว แค้มปปิ้งยังได้ มี Dog / Cat Park
สำหรับคนที่ชอบมาน้องหมาน้องแมวมาเที่ยวนอกบ้านด้วย


หลังจากเราทานอาหารกันแล้ว (มื้อเที่ยงนี้เราจ่ายเงินเองนะคะ) อาหารที่นี่จะเป็นออแกนิกส์ ผักก็ปลูกในเขตพื้นที่จังหวัดวากายามะ ด้านข้างของร้านอาหารก็มีร้านขายผัก, เนื้อและของที่ระลึกเพียบเลยค่ะ จังหวัดนี้ขึ้นชื่อเรื่องของบ๊วยมาก แน่นอนว่า บ๊วยดอง บ๊วยแผ่นที่นี่ก็อร่อยมากเช่นกัน

อิ่มท้องแล้ว ช๊อปปิ้งรอบแรกแล้ว ก็ไปนั่งรถกันต่ออีกราวๆ 2 ชม. ค่ะ ก็จะพบกับ Hashiguiiwa Rocks ฮาชิกุอิ อิวะ
เป็นแนวหินเรียงยาวเป็นแนวเหมือนกำแพง สิ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์นี้เกิดมาจากแม็คม่าใต้พื้นดินได้ผุดขึ้นมาด้านบน
และแข็งตัวเมื่อเจออากาศทำให้เป็นแนวเหมือนกำแพงสูงขึ้นมา
ด้วยระยะเวลาที่นานผ่านภัยธรรมชาติอย่างซึนามิเข้าถล่มจนแนวหินพังราบเข้ามาด้านใน หินถูกพัดเข้ามาด้านในฝั่งเรียงรายกันแปลกตาเวลาที่น้ำลดเราสามารถเดินลงไปถ่ายรูปได้ เป็นจุดพักรถ
จุดถ่ายรูปที่เป็นที่นิยมมากๆ แห่งนึงของจังหวัดวากายามะค่ะ

จากนั้นนั่งรถเดินทางต่อไปยังที่พักระหว่างทางเราจะแวะซื้อของกินกันนิดหน่อย เป็นซุปเปอร์ชุมชนมีของขายแปลกตา
สามารถซื้อของฝากได้ค่ะ จากนั้นเข้าที่พักซึ่งเป็นศาลเจ้าชื่อไดไทยจิ Daitaiji 大泰寺 ตั้งใจเขียนคำว่า “ไทย” ให้เป็นแบบนี้เพราะว่า คันจิตัวนี้ 泰 อ่านว่า ไทยเป็นคันจิตัวเดียวกับที่ใช้หมายถึง ประเทศไทย ด้วยค่ะ

ที่พักนี้จะมีที่ให้เรานั่งทำสมาธิ สนทนาธรรมด้วย ไม่ต้องกังวลเรื่องภาษาค่ะ เพราะเจ้าอาวาสที่นี่เรียนจบจากลอนดอน
ภาษาอังกฤษระดับเทพ แต่ตอนที่เราไปพักนั้นมีงานสวดมนต์ 600 ฉบับ เนื่องในวันปีใหม่พอดีก็เลยไม่ได้ไปสนทนาธรรมค่ะ เราเข้าที่พักเอาของไปเก็บแล้วก็ออกมาทานอาหารแบบเป็นคอร์สที่
ต้องจองแยกมาต่างหาก จากร้านชื่อ Aima ซึ่งอาหารหลักเป็นเนื้อกวางค่ะ เพราะเจ้าของร้านเป็นพรานล่ากวาง
แต่ไม่ได้ล่าด้วยการยิงนะคะ แต่เป็นการล่าด้วยการวางกับดักค่ะ
แน่นอนว่าอาหารอร่อยมาก เนื้อกวางก็อร่อยมาก

พอเราทานอาหารเสร็จก็เข้าที่พักค่ะ ห้องพักก็ไม่ต่างจากเรียวกังนะ
มีที่นอนอะไรให้ตามปกติ มีห้องอาบน้ำให้ มีน้ำอุ่น และมีซาวน่าอยู่ริมแม่น้ำค่ะ ถ้าอยากไปก็แจ้งเจ้าอาวาสได้เลย
แต่ดิบไปถึงตอนค่ำแล้วก็เลยแค่อาบน้ำฟักบัวธรรมดา พอก่อน 6 โมงเย็นมีเดินขึ้นเขาไปตีระฆัง 18 ครั้งด้วย
เห็นทางวัดบอกว่า ปกติแล้ววันปีใหม่จะตีระฆัง 108 ครั้ง แต่จะให้ที 108 ครั้งทุกวันอาจจะรบกวนชาวบ้าน จึงตี 18 ครั้ง ในทุกๆ วันค่ะ

Day 2
ท่องเที่ยวเชิงมหาปรัชญาปารมิตาสูตรเป็นอย่างไร
เชิญอ่านโพสนี้ค่ะ

เริ่มต้นวันที่ 2 กันด้วยโอนิกิริแบบปั้นมือ ร้านอยู่ใกล้สถานีรถไฟ……เจ้าของร้านยังดูวัยรุ่นอยู่
แต่มาเปิดร้านขายโอนิกิริโดยข้าวจากท้องถิ่น และแน่นอนว่าพวกไส้ของข้าวปั้นก็ใช้วัตถุดิบจากชุมชนทั้งหมด
บอกเลยว่า อร่อยมากค่ะ ที่นั่งและบรรยากาศในร้านก็ได้ฟีลคาเฟ่ แต่เป็นคาเฟ่ข้าวปั้นนะ ถูกใจคนรักข้าวแบบดิบมากๆ

จากนั้นเรากลับไปที่วัดเพื่อไปเข้าร่วมพิธีฉลองปีใหม่กันค่ะ ช่วงเช้าเจ้าอาวาสและบรรดาลูกศิษย์
นักบวชของวัดจะมารวมตัวกัน เพราะตอนสวดมนต์จะต้องสวดพร้อมกัน คือถ้าไม่สวดพร้อมกันเนี่ยอาจจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะจบ งานสวดมนต์นี้เรียกว่า ไดฮันยะเคียวเท็นโดคุเอะ 大般若経転読会 ( だいはんにゃきょうてんどくえ) ชื่อย้าววว ยาววว จำแบบไทยละกัน งานท่อง“มหาปรัชญาปารมิตาสูตร” 600 ฉบับ ซึ่งงานนี้จะจัดทุกวันที่ 13 มกราคมของทุกปีค่ะ งานนี้จะมีการเชิญนักบวชมานั่งท่อง “มหาปรัชญาปารมิตาสูตร” นี่รวมกัน 10 ท่าน และท่องไปพร้อมๆ กัน เจ้าอาวาสก็จะนั่งตรงกลางแล้วก็สวดไป ส่วนนักบวชอื่นๆ ก็จะเปิดกล่องคัมภีร์แล้วก็อ่านไปรัวๆ
ซึ่งการอ่านจะเป็นการอ่านแบบย่อ และมีการเปิดคัมภีร์แบบยกขึ้นสูงแล้วเปิดลงมาเหมือนกรีดพัดพระคัมภีร์เลยค่ะ ซึ่งประเพณีที่วัดนี้นั้นมีมายาวนานกว่า 1200 ปีแล้ว หลังจากเราฟังท่องพระคัมภีร์แล้วก็จะมีการโปรยโมจิปีใหม่
ซึ่งโมจิและขนมอื่นที่เอามาโยนนั้นจะเป็นขนมที่ผ่านการสวดทำพิธีมาแล้วทั้งหมด
ผู้คนละแวกนั้นจึงมาเพื่อรับเอาโมจิมงคลนี้กลับไปทานค่ะ

ดิบเองได้มีโอกาสขึ้นไปร่วมโยนขนมโมจิด้วย บอกเลยว่าตื่นเต้นมากๆ โดยปกติแล้วจะมีโซนที่โยนคือ
โซนเจ้าอาวาสและนักบวช , โซนลูกศิษย์ระดับสูง , โซนเจ้าหน้าที่ (ดิบอยู่โซนนี้) และโซนที่โยนขนมให้เด็กๆ ทางวัดจะรอให้ได้เวลา จากนั้นก็เริ่มโยนค่ะ ซึ่งคนที่มาร่วมงานนี่บอกเลย ทุกคนเตรียมพร้อมมาอย่างดี ทั้งกะละมัง ลังกระดาษ ผ้ารอง ฯลฯตอนโยนก็แอบกลัวว่าจะไปหล่นใส่หัวคนมาร่วมงาน แต่ดูเหมือนทุกคนที่มาก็จะค่อนข้างโปรนะคะ กางผ้า
กางลังมารับกันแม่นๆ เพี๊ยะๆ เลยค่ะ

หลังจากร่วมพิธีเสร็จแล้วเราก็เช็คเอ้าท์ออกจากวัด เป็นการพักผ่อนที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในญี่ปุ่นจริงๆ ค่ะ แม้กระทั่งคนญี่ปุ่นเองก็ยังไม่ค่อยมีใครได้มาเลยนะ

เราเดินทางกันต่อด้วยรถตู้เพื่อไปแวะทานมื้อเที่ยงกันสักนิดก่อนจะไปต่อกันที่ ไดมอนซากะ (大門坂) มานาจิ
ไม่มาไดมอนซากะ ก็เหมือนมาไม่ถึงนะคะเพราะที่นี่ถือได้ว่าเป็นถนนโบราณของญี่ปุ่นและเป็นจุดที่นักแสวงบุญต้องมา
เพราะในสมัยก่อนเหล่าจักรพรรดิ์ต่างๆมักจะเดินทางมาที่นี่เพื่อขึ้นไปสักการะศาลเจ้านาจิ ไทชาและน้ำตกนาจิ ที่ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกแนวตั้งตรงที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นการเดินทางไปเราสามารถเริ่มเดินจากชั้นที่ 1 ขึ้นไปเลยก็ได้
หรือหากว่าเดินไม่ไหวจะนั่งรถขึ้นไปแล้วเริ่มจากชั้นที่ 3หรือนั่งรถไปจนถึงวัดเลยก็ได้เช่นกัน แต่หากว่าเดินไหวนะคะ
ดิบแนะนำว่าให้เดินค่ะ เพราะระหว่างทางการเดินนั่น วิว สวยมากๆบางทีเดินๆ ไปก็เจอหินที่มีการแกะสลักชื่อเอาไว้
ซึ่งทางไกด์ที่พาเราไปเค้าบอกว่า ชื่อนี้น่าจะเป็นเด็กที่เคยอาศัยที่นี่ตอนไปเรียนก็แวะพักแล้วก็เขียนชื่อตัวเองไว้
ซึ่งคนเขียนนี่น่าจะอายุราวๆ 80 ปีได้แล้วนะ

ระหว่างทางเดินเราก็ยังได้เห็นจุดแวะพักที่มีมุมให้มองไปแล้วเห็นน้ำตกนาจิ และยังเป็นจุดชำระเงินค่าผ่านทางสมัยโบราณด้วยค่ะเพราะสมัยก่อนก็มีการเก็บเงินค่าเดินทางไปแสวงบุญเหมือนกันนะ

แต่ตอนหลังมาก็ได้ยกเลิกการเก็บเงินค่าผ่านทางตรงนี้ออกไปค่ะเมื่อเราเดินขึ้นไปถึงด้านบนก็จะพบกับศาลเจ้านาจิไทชาที่นี่มีเสียมซีที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นด้วยค่ะแน่นอนว่าดิบเองก็ไปเสี่ยงมาเหมือนกันและโชคดีมากได้ใบที่ดีที่สุดด้วยนะ เย้ๆ ที่ศาลเจ้านี้จะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นนึงค่ะมีความเชื่อว่าถ้าเราเขียนความปรารถนาของเราใส่ไม้ไว้ตั้งใจให้แน่วแน่แล้วเดินลอดอุโมงค์ต้นไม้นี้ออกไปความปรารถนาของเราจะเป็นจริง และเป็นการท้าทายความกลัวของตัวเราเองด้วยนะ บอกตรงๆตอนเดินเข้าไปก็กลัวนิดนึง เพราะมืดและแคบมากๆไม่เคยคิดว่าชีวิตจะได้เข้าไปอยู่ในต้นไม้ใหญ่ขนาดนั้นได้

นอกจากนั้นยังมีศาลเจ้าเซงันโทจิ 青岸渡寺 อยู่ใกล้ๆ กันด้านในมีเจ้าแม่กวนอิมทุกองค์รวมอยู่ในที่เดียว เจ้าหน้าที่บอกว่าปกติแล้วคนที่นับถือเจ้าแม่กวนอิม ก็จะมีจุดที่ต้องไปไหว้ให้ครบแต่ที่นี่ได้ทำแบบจำลองของเจ้าแม่กวนอิมในทุกแบบเอามารวมไว้ที่นี่ที่เดียวเลยค่ะ ดังนั้นใครนับถือเจ้าแม่กวนอิมก็มาที่นี่ที่เดียวได้ไหว้ครบเลย

จากตรงจุดนี้เราจะเดินไปน้ำตกนาจิได้เลยหรือจะนั่งรถลงไปก็ได้ค่ะไปถึงตรงทางเข้าแล้วเดินไปอีกไม่ไกลมากก็จะพบกับจุดที่น้ำตกนาจิตกลงมา ตอนที่เราไปเป็นช่วงหน้าหนาว น้ำจะไม่มากนักค่ะเรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมพลังงานดีเอาไว้
บรรยากาศรอบด้านทำให้สงบได้มากจริงๆ ค่ะ สวยมากคุ้มค่าแก่การเดินขึ้นมาที่สุด

จากนั้นนั่งรถกลับเข้าโรงแรมอุระชิมะ 浦島 ค่าเป็นโรงแรมที่ใหญ่มาก มีตึก 3 ที่ เป็น 3 โรงแรมที่เชื่อมต่อกันได้
และมีออนเซนที่ใหญ่มากๆ จุดเด่นคือออนเซนในถ้ำค่ะซึ่งเป็นออนเซนธรรมชาติ ถูกค้นพบขึ้นมาและได้รับการปรับปรุง
สร้างเป็นโรงแรมที่มีออนเซนในถ้ำทางเดินในโรงแรมบางส่วนก็เป็นถ้ำค่ะ และโรงแรมใหญ่มากๆใหญ่ชนิดที่ว่าถ้าไม่มีแผนที่อาจจะหลงทางได้เลยค่ะ

Day 3
เช้าวันที่ 3 เราได้เดินขึ้นไปชมวิวด้านบนสุดของโรงแรมค่ะซึ่งมีบันไดเลื่อนที่ยาวมากๆ และพอเดินไปชมวิวจะบอกว่า
สวยตะลึงมากค่ะ น้ำทะเลที่ใส โขดหิน ภูเขาและยังมีศาลเจ้าอยู่ด้านบนสุดอีกด้วยจากมุมนี้สามารถมองเห็นตลาดปลาคัทซุอุระได้เลยค่ะแน่นอนว่าหลังจากชมวิวสวยๆ แล้ว เราก็ไปดูตลาดปลาตอนเช้ากันซึ่งตลาดปลาที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นตรงที่ปลาที่นี่จะไม่ผ่านการแช่แช็งเลย จะเป็นปลาสดๆ ทั้งหมดปกติแล้วตลาดปลาอื่นอาจจะมีการนำปลาไปแช่แข็งแล้วขายแต่ที่นี่ทั้งหมดคือสด ยิ่งกว่าสด อีกอย่างนะคะ ห้องแช่แข็งไม่มีค่ะมีแต่น้ำแช็งที่ละลายช้า
เพื่อให้เอาไปใช้ในการขนส่งภายในประเทศแต่หากว่าเราไม่ได้ซื้อปลาสดกลับไปก็มีร้านอาหารที่เอาปลาจากตลาดมาขายให้ลองทานได้ค่ะ

เราเองก็เพิ่งได้กินปลามากุโร่แบบสดๆไม่ผ่านการแช่แข็งเลยเป็นครั้งแรก ต้องบอกว่า อร่อย มาก นิ่มมาก
นุ่มมาก ถ้าคุณรักปลามากุโร่ ดิบแนะนำว่าต้องมา ต้องกินจริงๆ ค่ะดิบเองพอได้กินแล้วก็ติดใจ เลยซื้อปลากลับมาด้วย 1 ชิ้นพอเราเอามาถึงบ้านก็ทำการหั่นแบ่งชิ้นแล้วก็แช่แข็งอีกทีค่ะ ส่วนที่ได้มาสดตอนแรกก็เอาให้ลูกและสามีกิน ทุกคนบอกกันหมดว่า อร่อย มาก นิ่มมาก ปลาสดเป็นแบบนี้นี้เอง (นี่ขนาดคนญี่ปุ่นแท้ๆนะ) ส่วนที่เหลือเราเอาแช่แข็งค่ะ
และพอเอาออกมาละลายด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง แล้วกินอีกทีแม้จะผ่านการแช่แข็ง แต่ก็ต้องบอกว่า ยังอร่อยมากๆ อยู่ดี
ถ้าชอบปลาดิบ คุณนายปลาดิบบอกเลยว่าห้ามพลาด

หลังจากเสร็จจากการกินปลาสดๆ แล้วเราก็เตรียมเดินทางกลับค่ะแต่ระหว่างทางเราจะแวะที่โขดหิน เซโจจิกิ 千畳敷
เป็นโขดหินธรรมชาติที่ใหญ่ กว้าง เรียงกันเป็นชั้นๆ ขั้นๆอย่างสวยงามค่ะ อารมณ์เหมือนแกรนแคนยอน แบบริมทะเล
ธรรมชาติสร้างสรรค์ความสวยงามมาแล้วจริงๆตอนแรกดิบดูจากรูปก็คิดว่าไม่ใหญ่มาก แต่พอไปจริงๆ
คือใหญ่มากๆ หลังจากถ่ายรูปแล้วก็แวะทานอาหารกันเล็กน้อยก่อนจะนั่งรถกลับไปสนามบิน หรือขึ้นรถไฟกลับโดยสวัสดิภาพค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับทัวร์นี้ ส่วนตัวแล้วดิบชอบมากเพราะมันได้สัมผัสถึงธรรมชาติอย่างแท้จริง
ยิ่งได้ฟังเรื่องราวของสถานที่นั้นๆ ด้วยแล้วเหมือนกับว่าเป็นการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เหมือนเราได้ย้อนมองไปในอดีตแล้วก็มองกลับมาที่ตัวเองในปัจจุบัน

และคิดไปถึงอนาคตเลยว่าเราจะเป็นอดีตอย่างไร
ให้อนาคตได้จดจำเราในทางที่ดีแบบนี้บ้าง

หากใครสนใจการท่องเที่ยวในแบบลึกๆ
ได้สัมผัสญี่ปุ่นในมุมที่ไม่ใช่แค่ผิวเผิน อยากให้ลองมาเที่ยวที่ นาจิ
จังหวัดวากายามะ สักครั้งนะคะ

ข้อมูลเพิ่มเติม

[คำอธิบายฟาร์มสเตย์ฉบับภาษาอังกฤษ]
https://countrysidestays-japan.com/
[คำอธิบายฟาร์มสเตย์เวอร์ชั่นญี่ปุ่น]
https://www.maff.go.jp/j/nousin/kouryu/nouhakusuishin/nouhaku_top.html#:~:text=%E3%81%9D%E3%81%AE%E4%BB%96-,%